ในขณะที่ระบบการวางแผนทรัพยากรขององค์กร หรือ ERP ดั้งเดิมอย่างระบบของ SAP ECC6 และ Microsoft NAV นั้นเข้าถึงสู่ช่วงสิ้นสุดอายุการใช้งาน องค์กรต่างๆนั้นได้เริ่มเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานซอฟต์แวร์ขององค์กร
ผลกระทบของการประกาศยุติการใช้งานระบบเหล่านี้มีมากกว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์ปกติทั่วไป แต่องค์กรต่างๆยังคงต้องรับมือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามข้อกำหนด และความเสี่ยงที่อาจเกิดการหยุดชะงักในการดำเนินงาน ขณะเดียวกัน ธุรกิจนั้นจำเป็นจะต้องมองหาทางเลือกใหม่ๆที่มีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัว ความสามารถในการปรับขนาด และศักยภาพด้านนวัตกรรมขององค์กรที่ดีขึ้น
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับกำหนดเวลาสิ้นสุดการสนับสนุนระบบ SAP ECC 6
ระบบของ SAP ได้แสดงความโปร่งใสเกี่ยวกับระยะเวลาการสิ้นสุดการสนับสนุนระบบของ SAP ECC6 โดยที่แจ้งให้กับองค์กรต่างๆที่ใช้งานระบบนี้ทราบล่วงหน้าเพื่อให้สามารถทำการวางแผนในการเปลี่ยนแปลงระบบผ่าน SAP ECC6 ซึ่งทำหน้าที่เป็นแกนหลักให้กับองค์กรต่างๆมากมายทั่วโลก โดยที่จำหนดเวลาการสิ้นสุดของระบบนี้คือวันที่ 21 ธันวาคม 2570 และขยายระยะเวลาการสนับสนุนไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2573 กำหนดเวลานี้สร้างกรอบการตัดสินใจที่ชัดเจน เพื่อให้องค์กรสามารถตัดสินใจกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้
SAP ECC เวอร์ชัน 6.0 ที่ยังคงใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่างๆ ถือเป็นการอัปเดตครั้งสุดท้ายของส่วนประกอบหลักของระบบ ERP แบบ On-premise ของ SAP แม้ว่าระบบนี้จะได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความน่าเชื่อถือและแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันกับโซลูชัน Cloud ERP ที่ทันสมัย ซึ่งมีแพลตฟอร์มการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์และฟังก์ชันอื่นๆ อีกมากมายได้ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมในวงกว้างที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและให้ความสำคัญเรื่องสถาปัตยกรรมบนระบบแบบคลาวด์เป็นอันดับแรก
การทำความเข้าใจกับกำหนดเวลาเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้นำด้านไอทีและผู้บริหารธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ ผสานรวมระบบ และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับศักยภาพของ ERP สมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมนวัตกรรมและความได้เปรียบในการแข่งขัน
การหมดอายุการใช้งานของ Microsoft NAV: ความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านจาก Dynamics GP
ในระหว่างท่ีองค์กรส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับไทม์ไลน์การเปลี่ยนผ่านของ SAP ผู้ใช้ Microsoft NAV ก็กำลังเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนสำคัญเช่นกัน โดย Microsoft Dynamics NAV ได้สิ้นสุดการสนับสนุนหลักในปี 2018 และการสนับสนุนเพิ่มเติมจะสิ้นสุดลงในปี 2025 สถานะการสิ้นสุดการสนับสนุนนี้ทำให้ผู้ใช้ NAV ตกอยู่ในความเสี่ยงที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการอัปเดตความปลอดภัย การปฏิบัติตามข้อกำหนด และความพร้อมในการสนับสนุนจากผู้จำหน่าย
Microsoft NAV ซึ่งเคยเป็นที่นิยมในฐานะโซลูชั่น ERP สำหรับธุรกิจขนาดกลาง ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรหลายแห่ง ด้วยการใช้งานที่ไม่ซับซ้อนและอินเทอร์เฟซบน Windows ที่ผู้ใช้หลายๆคนคุ้นเคย
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่ Microsoft เปลี่ยนไปใช้ Dynamics 365 Business Central และการนำเสนอระบบคลาวด์เป็นหลัก ทำให้ผู้ใช้ NAV มีทางเลือกในการอัปเกรดในระบบนิเวศของ Microsoft อย่างจำกัด
การสิ้นสุดอายุการใช้งานของระบบ NAV นำมาซึ่งความท้าทายที่แตกต่างจากการเปลี่ยนระบบของ SAP ECC6 โดยที่ ลูกค้า NAV อาจไม่มีการปรับแต่งหรือผสานรวมระบบที่ซับซ้อนเท่ากับสภาพแวดล้อม SAP ขนาดใหญ่ แต่ก็ยังคงเผชิญกับแรงกดดันด้านความปลอดภัยของระบบ การปฏิบัติตามข้อกำหนดของแต่ละที่ และความต่อเนื่องในการดำเนินงานที่คล้ายคลึงกัน องค์กรที่ใช้ NAV หลายแห่งพบว่ามีตัวเลือกในการย้ายระบบที่หลากหลาย ซึ่งขยายไปไกลกว่าเส้นทางการอัปเกรดที่ Microsoft แนะนำให้ไปใช้ Business Central
วันสิ้นสุดการสนับสนุนและการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับ SAP ECC 6
SAP ได้กำหนดกรอบเวลาการสนับสนุนสำหรับระบบ ECC 6 ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้องค์กรต่าง ๆ สามารถวางแผนการดำเนินงานได้ การสนับสนุนหลักจะสิ้นสุดในปี 2027 และจะมีการสนับสนุนเพิ่มเติมจนถึงปี 2030 อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนที่ขยายออกไปนี้จะมีค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดเพิ่มเติมที่องค์กรต้องพิจารณาในการคำนวณต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของระบบนี้
ในช่วงระยะเวลาการสนับสนุนเพิ่มเติมของระบบ ทางด้าน SAP จะยังคงให้แพตช์ในการรักษาความปลอดภัยที่จำเป็นและการสนับสนุนทางเทคนิคแต่ค่อนข้างจำกัด และจะไม่มีการพัฒนาฟังก์ชันใหม่ๆ อีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าองค์กรที่ยังคงใช้งาน ECC 6 หลังปี 2027 จะพลาดโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับการปรับปรุง และการเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์กร
ผลกระทบทางด้านการเงินของการสนับสนุนแบบขยายเวลานั้นมีนัยสำคัญ โดยปกติแล้ว SAP จะคิดค่าบริการสนับสนุนแบบขยายเวลาในอัตราพิเศษ ซึ่งคิดเป็น 17%-20% ของค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเดิมในแต่ละปี หากพิจารณาร่วมกับต้นทุนค่าเสียโอกาสในการดูแลรักษาระบบเดิมและความยากลำบากที่เพิ่มขึ้นในการหาผู้เชี่ยวชาญ SAP ECC 6 ที่มีทักษะ ตัวเลือกการสนับสนุนแบบขยายเวลาจึงไม่น่าสนใจทั้งในเชิงการเงินและกลยุทธ์
ผลกระทบต่อผู้ใช้และวันที่สิ้นสุดการสนับสนุนสำหรับ SAP ECC
กำหนดเวลาสิ้นสุดการสนับสนุนสำหรับ SAP ECC 6 ในปี 2030 จะส่งผลกระทบต่อองค์กรหลายพันแห่งทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ หลังปีดังกล่าว SAP จะยุติการให้ความช่วยเหลือด้านการสนับสนุน การอัปเดตความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนดสำหรับการติดตั้ง SAP ECC ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงสำหรับองค์กรที่ยังไม่ได้วางแผนการโยกย้ายระบบ ความเสี่ยงเหล่านี้รวมถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัย การตรวจสอบที่ไม่ผ่าน และการหยุดชะงักทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น
ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านเทคนิค แต่ยังรวมถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ มาตรฐานอุตสาหกรรม และความสัมพันธ์กับพันธมิตรด้วย ระบบธุรกิจที่สำคัญซึ่งไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้จำหน่ายในปัจจุบัน อาจทำให้องค์กรที่ใช้งานระบบ ERP ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนต้องเผชิญกับการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด การตรวจสอบที่ไม่ผ่าน และความรับผิดทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้มีมูลค่าสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการย้ายระบบให้ทันเวลาอย่างมาก
นอกจากนี้ จำนวนผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะในการบำรุงรักษาและพัฒนา SAP ECC ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบุคลากรเหล่านี้กำลังเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรนี้จะเริ่มเพิ่มมากขึ้นเมื่อใกล้ถึงกำหนดเวลา ทำให้การบำรุงรักษาระบบ ECC มีค่าใช้จ่ายสูงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
การเตรียมพร้อมรับมือกับ ECC End of Life
การเตรียมพร้อมสำหรับการสิ้นสุดระยะเวลาสนับสนุนของ ECC (End-of-Life) ที่สามารถทำได้อย่างราบรื่นนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนที่ครอบคลุม ทั้งในด้านเทคนิค การดำเนินงาน และกลยุทธ์ องค์กรควรเริ่มต้นด้วยการประเมินสภาพแวดล้อมระบบ SAP ที่ใช้อยู่ปัจจุบันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งรวมถึงการปรับแต่งระบบ การผสานรวมกับระบบอื่น ปริมาณข้อมูล และกระบวนการทางธุรกิจ การประเมินนี้จะวางรากฐานสำหรับการวางแผนการย้ายระบบ และช่วยให้สามารถระบุความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาสำคัญ
ขั้นตอนการเตรียมการสำหรับการย้ายข้อมูลระบบ ERP ควรให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของเหล่า shareholders จากทุกหน่วยงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายการเงิน ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายไอที และผู้บริหารระดับสูง การประสานงานระหว่างหน่วยงานเหล่านี้เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ระยะเวลา และเกณฑ์ความสำเร็จของการย้ายข้อมูล จะช่วยให้โครงการได้รับการสนับสนุนและทรัพยากรที่จำเป็นตลอดกระบวนการ
การประเมินความเสี่ยงถือเป็นส่วนสำคัญของการเตรียมความพร้อม องค์กรจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากการย้ายข้อมูลล่าช้า เทียบกับต้นทุนและความซับซ้อนของทางเลือกการย้ายข้อมูลต่างๆ ความเสี่ยงเหล่านี้รวมถึงช่องโหว่ด้านความปลอดภัย การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด การหยุดชะงักของการดำเนินงาน และการสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันเนื่องจากพลาดโอกาสด้านนวัตกรรม
ความจำเป็นของการย้ายข้อมูลจาก Microsoft NAV สู่ระบบใหม่
สำหรับผู้ใช้งาน Microsoft Dynamics NAV (NAV) นั้นมีความจำในเรื่องการย้ายระบบ เนื่องจากระบบปัจจุบันสิ้นสุดระยะเวลาสนับสนุนแล้ว ซึ่งแตกต่างจากผู้ใช้งาน SAP ECC 6 ที่ยังคงได้รับการสนับสนุนหลักจนถึงปี 2027 องค์กรที่ใช้ NAV กำลังดำเนินการโดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้จำหน่ายในเรื่องการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแพตช์ที่สำคัญ สถานการณ์เหล่านี้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการตัดสินใจย้ายระบบและกำหนดระยะเวลาในการติดตั้ง
เส้นทางการย้ายข้อมูลจาก NAV ไปยัง Dynamics 365 Business Central ตามคำแนะนำของ Microsoft นั้นมีทั้งโอกาสและความท้าทาย แม้ Business Central จะนำเสนอทางเลือกในการปรับใช้ระบบคลาวด์และฟังก์ชันการทำงานที่ทันสมัย แต่กระบวนการย้ายข้อมูลกลับมีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ใช้ NAV จำนวนมากพบว่าการปรับแต่งระบบ, การผสานรวมกับบุคคลที่สาม และข้อกำหนดเฉพาะทางของอุตสาหกรรม ไม่สามารถนำไปใช้กับ Business Central ได้อย่างราบรื่นเหมือนเดิม
ความท้าทายในการย้ายข้อมูลนี้ทำให้ผู้ใช้ NAV จำนวนมากมองหาระบบ ERP ทางเลือกที่อาจตอบสนองวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ระยะยาวได้ดีกว่า แทนที่จะมองว่าการสิ้นสุดอายุการใช้งานของ NAV เป็นข้อจำกัด องค์กรที่มีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าจะถือว่าสิ่งนี้เป็นโอกาสในการประเมินโซลูชันที่ดีที่สุดที่นำเสนอความสามารถคลาวด์ที่เหนือกว่า การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และข้อได้เปรียบด้านความสามารถในการปรับขนาด
กลยุทธ์สำหรับความต่อเนื่องทางธุรกิจและการโยกย้ายระบบ
การวางแผนอย่างรอบคอบและกลยุทธ์การลดความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจในระหว่างการเปลี่ยนผ่านระบบ ERP องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์การโยกย้ายที่ครอบคลุม เพื่อลดการหยุดชะงักของการดำเนินงาน รักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล และความต่อเนื่องของกระบวนการ โดยมักจะใช้กลยุทธ์การโยกย้ายแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งช่วยให้สามารถทดสอบ ตรวจสอบ และนำไปใช้งานโดยผู้ใช้ได้อย่างต่อเนื่อง
โดยทั่วไป กลยุทธ์การโยกย้ายข้อมูลแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ Brownfield และ Greenfield สำหรับผู้ใช้ SAP ECC วิธีการแบบ Brownfield มุ่งเน้นการรักษาการปรับแต่งและการกำหนดค่าที่มีอยู่เดิม ในขณะที่วิธีการแบบ Greenfield จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ด้วยการนำ SAP ใหม่หรือระบบ ERP ทางเลือกมาใช้ ทั้งสองวิธีนี้มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งองค์กรจำเป็นต้องประเมินโดยพิจารณาจากลำดับความสำคัญและข้อจำกัดของตน
การวางแผนสำหรับความต่อเนื่องทางธุรกิจยังต้องคำนึงถึงช่วงเวลาหลังการย้ายข้อมูลเสร็จสิ้นด้วย ซึ่งครอบคลุมถึงการฝึกอบรมผู้ใช้งาน การจัดทำเอกสารขั้นตอนการทำงาน การตรวจสอบระบบ และแผนรับมือเหตุฉุกเฉินสำหรับปัญหาที่ไม่คาดคิด องค์กรที่ให้ความสำคัญและลงทุนอย่างเพียงพอในการสนับสนุนหลังการย้ายข้อมูล มักจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่รวดเร็วขึ้นและผู้ใช้งานมีความพึงพอใจสูงขึ้น
การจัดทำกรณีศึกษาทางธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนแปลงระบบ ERP ขององค์กร
ในการสร้างกรณีศึกษาทางธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับการเปลี่ยนผ่านระบบ ERP จำเป็นต้องพิจารณาทั้งความเสี่ยงของการคงระบบเดิมไว้ และประโยชน์ของการย้ายระบบ โดยความเสี่ยงที่สำคัญของการใช้ระบบเดิมคือ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด ประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ลดลง และการพลาดโอกาสในการพัฒนากระบวนการทางธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ๆ
การย้ายระบบไปสู่ ERP สมัยใหม่ช่วยเพิ่มความคล่องตัว, ปรับปรุงการวิเคราะห์ข้อมูล, ขยายขนาดได้ดีขึ้น และลดต้นทุนโดยรวม โซลูชันคลาวด์ยังให้ประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การอัปเดตอัตโนมัติ การกู้คืนระบบจากภัยพิบัติที่ดีขึ้น และการผสานรวมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI และ Machine Learning ได้ง่ายขึ้น
การสร้างแบบจำลองทางการเงินควรพิจารณาทั้งต้นทุนทางตรง เช่น ค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ บริการติดตั้ง และการฝึกอบรม และต้นทุนทางอ้อม เช่น ต้นทุนค่าเสียโอกาส การลดความเสี่ยง และการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน องค์กรจำนวนมากพบว่าประโยชน์ทางการเงินระยะยาวจากการย้ายระบบมีมากกว่าการลงทุนเริ่มต้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงต้นทุนสนับสนุนที่สูงและข้อจำกัดในการดำเนินงานของระบบเดิม
ขั้นตอนการย้ายข้อมูลจาก SAP ECC สู่ระบบ ERP ใหม่
การย้ายข้อมูลจาก SAP ECC ไปยังระบบ ERP ใหม่ประกอบด้วยหลายขั้นตอนที่ต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างพิถีพิถัน โดยทั่วไป กระบวนการนี้จะเริ่มจากการประเมินระบบและการทำแผนที่ข้อมูลอย่างละเอียด จากนั้นจึงเลือกโซลูชัน การวางแผนการนำไปใช้งาน การย้ายข้อมูล การทดสอบ และการฝึกอบรมผู้ใช้
การย้ายข้อมูลจาก ECC จำเป็นต้องมีการเลือกสรรข้อมูลอย่างพิถีพิถัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อระยะเวลา ต้นทุน และความซับซ้อนของโครงการ องค์กรต้องตัดสินใจว่าข้อมูลในอดีตส่วนใดที่จำเป็นต้องย้าย และส่วนใดที่สามารถเก็บถาวรได้ รวมถึงวิธีการจัดการกับการปรับแต่ง การกำหนดค่า และการรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูลตลอดกระบวนการ
ข้อกำหนดการผสานรวมที่ซับซ้อนถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา เนื่องจากระบบ SAP ECC มักจะผสานรวมกับแอปพลิเคชัน ฐานข้อมูล และระบบภายนอกอื่นๆ จำนวนมาก การวางแผนการย้ายข้อมูลจึงต้องพิจารณาถึงวิธีการรักษาหรือเปลี่ยนการผสานรวมเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมเป้าหมาย เพื่อให้กระบวนการทางธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นอย่างต่อเนื่อง
เส้นทางสู่การโยกย้ายข้อมูลจาก Microsoft NAV สู่ระบบอื่น
เส้นทางการย้ายข้อมูลจาก NAV มีอยู่หลายวีธี โดยการย้ายข้อมูลนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร ข้อจำกัดทางเทคนิค และวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ แม้ว่า Microsoft จะผลักดัน Business Central ให้เป็นผู้สืบทอดโดยตรงของ NAV แต่หลายองค์กรกลับพบว่าโซลูชันคลาวด์เนทีฟทางเลือกอื่น ๆ สามารถมอบความสามารถที่เหนือกว่าและคุณค่าระยะยาวที่ดีกว่าได้
การย้ายข้อมูลจาก NAV มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดึงข้อมูล การล้างข้อมูล และการแปลงข้อมูล เนื่องจากฐานข้อมูล NAV มักรวบรวมข้อมูลการดำเนินงาน การปรับแต่ง และการผสานรวมมานานหลายปี ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์และจัดทำแผนผังอย่างละเอียด เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของระบบปลายทาง กระบวนการนี้อาจมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่ปรับแต่งการใช้งาน NAV อย่างมาก
การพิจารณาถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการย้ายข้อมูลจาก NAV องค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมเฉพาะทางมักมีการปรับแต่งระบบ NAV ให้ตรงตามความต้องการพิเศษ ซึ่งอาจไม่สามารถรองรับได้ด้วยการตั้งค่ามาตรฐานของ Business Central กรณีเช่นนี้มักนำไปสู่การประเมินระบบ ERP ทางเลือกอื่น ๆ ที่มีฟังก์ชันการทำงานที่โดดเด่นและเฉพาะเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมนั้น ๆ
การประเมินทางเลือกสำหรับระบบ SAP และอื่นๆ
การเปรียบเทียบหลายๆระบบก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนระบบนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการประเมินการเปลี่ยนระบบ ERP ซึ่งรวมถึงฟังก์ชั่นการทำงาน, ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ, ความซับซ้อนในการใช้งาน, ความเสถียรของผู้ให้บริการ และการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน โดยผู้ใช้ SAP ECC มีทางเลือกต่างๆ เช่น การใช้ Rise with SAP, การติดตั้ง S/4HANA หรือการย้ายไปใช้ระบบ ERP ทางเลือกจากผู้ให้บริการรายอื่น
Rise with SAP เป็นเส้นทางที่เน้นระบบคลาวด์จาก SAP ซึ่งช่วยให้การเปลี่ยนผ่านจากระบบ ECC ภายในองค์กรไปสู่ S/4HANA บนคลาวด์ง่ายขึ้น แม้ว่าตัวเลือกนี้จะมีราคาที่คาดการณ์ได้ บริการที่มีการจัดการ และลดความซับซ้อนในการใช้งาน แต่ก็ยังคงผูกขาดกับผู้ให้บริการรายอื่น และอาจไม่ตอบสนองความต้องการด้านนวัตกรรมและการปรับแต่งขององค์กรได้อย่างเต็มที่
ระบบ ERP ทางเลือก เช่น Oracle NetSuite และ Microsoft มอบคุณค่าที่แตกต่างและอาจตอบสนองวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ดียิ่งขึ้น โดยมักมาพร้อมสถาปัตยกรรมคลาวด์เนทีฟที่เหนือกว่า ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง และความสามารถในการผสานรวมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การย้ายระบบสู่ระบบคลาวด์: ข้อดีและข้อควรพิจารณา
การนำระบบ Cloud ERP มาใช้มีข้อดีมากมาย เช่น ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ลดลง การอัปเดตระบบอัตโนมัติ การกู้คืนระบบจากภัยพิบัติที่ดีขึ้น และความสามารถในการปรับขนาดที่เพิ่มขึ้น โซลูชันคลาวด์เนทีฟช่วยลดความจำเป็นของฮาร์ดแวร์ภายในองค์กร ลดความซับซ้อนในการจัดการไอที และให้การเข้าถึงฟังก์ชันขั้นสูง อาทิ การวิเคราะห์แบบเรียลไทม์และปัญญาประดิษฐ์
อย่างไรก็ตาม การย้ายระบบไปยังคลาวด์มาพร้อมกับข้อควรพิจารณาที่สำคัญ ได้แก่ ความปลอดภัยของข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ความซับซ้อนในการผสานรวมระบบ และความจำเป็นในการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ องค์กรจึงต้องประเมินความพร้อมในการนำระบบคลาวด์มาใช้ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย นโยบายด้านความปลอดภัย และข้อกำหนดในการฝึกอบรมผู้ใช้งานเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น
ระบบ ERP ที่สร้างมาเพื่อใช้บนระบบคลาวด์โดยเฉพาะมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าโซลูชันที่นำซอฟต์แวร์แบบเดิมไปโฮสต์ไว้บนดาต้าเซ็นเตอร์ (ซึ่งเป็นเพียงแค่ “คลาวด์วอช”) ด้วยสถาปัตยกรรมคลาวด์เนทีฟ องค์กรจะได้รับความคล่องตัว ความสามารถในการปรับขนาด และนวัตกรรมที่เหนือกว่า ซึ่งช่วยขับเคลื่อนความได้เปรียบในการแข่งขันและประสิทธิภาพการดำเนินงาน
Oracle NetSuite ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Cloud ERP ที่ทันสมัย ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการออกแบบคลาวด์เนทีฟที่แท้จริง แตกต่างจากระบบ ERP แบบเก่าที่ถูกปรับมาใช้งานบนคลาวด์ NetSuite ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นโซลูชันคลาวด์ตั้งแต่เริ่มต้น ความแตกต่างทางสถาปัตยกรรมนี้ส่งผลให้ได้ความสามารถแบบเรียลไทม์ที่เหนือกว่า มีความยืดหยุ่นในการปรับขนาด และใช้โมเดลข้อมูลแบบรวมศูนย์ที่ช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมโยงระบบ ซึ่งมักพบในสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด
NetSuite นำเสนอแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ที่ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ แก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของการย้ายข้อมูลจากระบบเดิมที่กระจัดกระจาย แตกต่างจากการใช้แอปพลิเคชันแยกกันสำหรับระบบการเงิน, CRM, อีคอมเมิร์ซ และการวิเคราะห์ NetSuite มอบฟังก์ชันการทำงานแบบบูรณาการ ช่วยให้ข้อมูลสอดคล้องกัน และลดความจำเป็นในการใช้มิดเดิลแวร์การผสานรวมที่ซับซ้อน
การย้ายข้อมูลที่ซับซ้อนและการผสานรวมแบบเลือกสรร
กลยุทธ์การย้ายข้อมูลแบบเลือกสรรช่วยให้องค์กรสามารถรักษาสมดุลระหว่างประโยชน์ของการเก็บข้อมูลประวัติกับความซับซ้อนและต้นทุนของการย้ายข้อมูลทั้งหมดได้ องค์กรไม่จำเป็นต้องย้ายข้อมูลประวัติทั้งหมดไปยังระบบ ERP ใหม่ แต่สามารถเก็บข้อมูลธุรกรรมเก่าไว้ และย้ายเฉพาะข้อมูลบันทึกที่ใช้งานอยู่และข้อมูลหลักที่จำเป็นต่อการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
การผสานรวมระบบเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการย้ายข้อมูล ERP โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับระบบเดิมที่มีการผสานรวมแบบจุดต่อจุดจำนวนมาก ซึ่งสร้างการพึ่งพาที่ซับซ้อน การวางแผนอย่างรอบคอบจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขและสร้างการผสานรวมเหล่านี้ขึ้นใหม่ในสภาพแวดล้อมเป้าหมาย
ระบบ Cloud ERP ที่ทันสมัยมักมาพร้อมกับความสามารถในการผสานรวมที่เหนือกว่า โดยมีสถาปัตยกรรมที่เน้น API, ตัวเชื่อมต่อสำเร็จรูป และบริการแพลตฟอร์มการผสานรวม สิ่งเหล่านี้ช่วยลดความซับซ้อนของโครงสร้างการผสานรวม และยังให้ความน่าเชื่อถือ การตรวจสอบ และการบำรุงรักษาที่ดีกว่าวิธีการแบบเดิม
เพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจของคุณด้วยนวัตกรรมจาก SAP
องค์กรที่ใช้ระบบนิเวศของ SAP สามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่สำคัญ เช่น S/4HANA และ Rise with SAP แพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้เข้าถึงการวิเคราะห์ขั้นสูง ความสามารถด้านแมชชีนเลิร์นนิง และฟังก์ชันเฉพาะอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
สถาปัตยกรรม in-memory ของ SAP HANA ช่วยให้สามารถประมวลผลได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งแตกต่างจากระบบ ECC ดั้งเดิม นอกจากนี้ พื้นฐานทางเทคโนโลยีดังกล่าวยังช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ขั้นสูง การสร้างแบบจำลองเชิงคาดการณ์ และการรายงานประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการตัดสินใจและผลลัพธ์ทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม องค์กรควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าแผนนวัตกรรมของ SAP สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์หรือไม่ รวมถึงประเมินความคุ้มค่าของต้นทุนและความซับซ้อนที่เกี่ยวข้องเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับจากโซลูชันอื่นๆ ด้วย
บทบาทของ SAP HANA และการวิเคราะห์: ทำความเข้าใจในระบบนี้
SAP HANA เป็นแกนหลักทางเทคโนโลยีสำหรับแพลตฟอร์ม ERP ยุคใหม่ของ SAP ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ in-memory ทำให้สามารถขจัดข้อจำกัดของการประมวลผลแบบแบตช์ในอดีตได้ ส่งผลให้สามารถวิเคราะห์และรายงานผลการดำเนินงานได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้มองเห็นประสิทธิภาพทางธุรกิจได้อย่างชัดเจนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความสามารถในการวิเคราะห์ของ HANA ซึ่งรวมถึงการสร้างแบบจำลองเชิงคาดการณ์ การผสานรวมการเรียนรู้ของเครื่อง และเครื่องมือสร้างภาพขั้นสูง สามารถพลิกโฉมความเข้าใจและการจัดการการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างสิ้นเชิง ความก้าวหน้าเหล่านี้เหนือกว่าฟังก์ชันการรายงานและการวิเคราะห์ระบบ ECC แบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่า HANA จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มาพร้อมกับข้อกำหนดด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์ และความซับซ้อนที่องค์กรต้องพิจารณาและประเมินอย่างรอบคอบ โดยเปรียบเทียบกับความต้องการด้านการวิเคราะห์และความสามารถทางเทคนิคที่แท้จริง
ทางเลือกสำหรับแพลตฟอร์มนวัตกรรมและการวิเคราะห์
องค์กรที่กำลังพิจารณาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ของ SAP จะพบว่าระบบ ERP แบบ Cloud-Native มักนำเสนอความสามารถในการวิเคราะห์ที่เหนือกว่า โดยมีทั้งความซับซ้อนและต้นทุนที่ต่ำกว่า แพลตฟอร์มที่ทันสมัยเหล่านี้จะผสานรวมฟังก์ชันการวิเคราะห์เข้ากับเวิร์กโฟลว์การปฏิบัติงานโดยตรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานการวิเคราะห์ที่แยกต่างหากและทักษะทางเทคนิคเฉพาะทางอีกต่อไป
แพลตฟอร์มแบบ Cloud-Native ยังมอบความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เหนือกว่าด้วยการปรับใช้งานฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น การอัปเดตอัตโนมัติ และการผสานรวมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างราบรื่น แนวทางนี้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจและโอกาสทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
แนวทางการวิเคราะห์ของ NetSuite แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบของการเป็นระบบคลาวด์เนทีฟที่โดดเด่น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ภายนอกหรือทีมเทคนิคเฉพาะทาง NetSuite มีรายงาน แดชบอร์ด และเครื่องมือวิเคราะห์แบบครบวงจรที่ผู้ใช้งานทางธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์ได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากฝ่ายไอที การเข้าถึงความสามารถในการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมนี้ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและกระจายการเข้าถึงระบบธุรกิจอัจฉริยะ (BI) ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น
การปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล
การย้ายระบบ ERP ถือเป็นโอกาสสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล แทนที่จะคัดลอกกระบวนการเดิม องค์กรควรใช้โอกาสนี้ในการออกแบบเวิร์กโฟลว์ใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานที่ต้องทำด้วยมือ และยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ แต่ยังรวมถึงการตัดสินใจจากข้อมูล การยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้า และการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงานด้วย ระบบ ERP ที่ทันสมัยจึงเป็นรากฐานทางเทคโนโลยีที่สำคัญในการปรับปรุงเหล่านี้ ด้วยฟังก์ชันที่ทำงานร่วมกัน การประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ และประสบการณ์ใช้งานที่ราบรื่น
การเปลี่ยนแปลงระบบต้องอาศัยการจัดการที่รัดกุม เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถปรับตัวและได้รับประโยชน์สูงสุด องค์กรที่ลงทุนอย่างเพียงพอในการฝึกอบรม การสื่อสาร และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง มักจะประสบความสำเร็จในการย้ายระบบ ERP ได้ดีกว่า
การเปลี่ยนมาใช้ กลยุทธ์ Cloud-First เพื่อผลลัพธ์ที่เหนือกว่า
องค์กรที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลควรให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Cloud-First เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ความสามารถในการปรับขนาด และศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้สูงสุด ระบบ ERP ที่เป็น Cloud-Native จะเป็นรากฐานที่เหนือกว่าสำหรับการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย การอัปเดตอัตโนมัติ และเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่ผสานรวมเข้าไว้ด้วยกัน
แพลตฟอร์มคลาวด์ที่แท้จริงช่วยขจัดข้อจำกัดหลายประการที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมแบบ On-Premises ข้อจำกัดเหล่านี้รวมถึงข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ รอบการอัปเดตซอฟต์แวร์ ความซับซ้อนในการผสานรวม และความจำเป็นในการใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเฉพาะทางเพื่อบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ
แนวทาง Cloud-First ช่วยให้องค์กรสามารถรองรับการทำงานจากระยะไกล การดำเนินงานทั่วโลก และการเปลี่ยนแปลงความต้องการทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจปัจจุบัน องค์กรที่เลือกใช้กลยุทธ์ Cloud-First จะมีความยืดหยุ่น คล่องตัว และมีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับองค์กรที่ยังคงใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ On-Premises เดิม
เหตุใด NetSuite จึงเป็นอนาคตของระบบ Cloud ERP
องค์กรต่าง ๆ มีทางเลือกมากมายในการเปลี่ยนระบบ ERP แต่ Oracle NetSuite ถือเป็นโซลูชันคลาวด์ที่แท้จริงและครบวงจร ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ แตกต่างจากระบบเดิมที่ปรับให้เข้ากับการใช้งานบนคลาวด์ สถาปัตยกรรมคลาวด์เนทีฟของ NetSuite มีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติในด้านความสามารถในการปรับขนาด ความคล่องตัว และนวัตกรรม
NetSuite นำเสนอแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจจัดการ CRM, การจัดการทางการเงิน, อีคอมเมิร์ซ และการวิเคราะห์ข้อมูลได้ในระบบเดียว ซึ่งแตกต่างจากการติดตั้ง ERP แบบเดิมที่ต้องจัดการแอปพลิเคชันแยกกัน NetSuite ช่วยขจัดความท้าทายด้านการผสานรวมที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์จากการผสานรวมนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อองค์กรที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบเดิมที่กระจัดกระจาย ลูกค้า NetSuite สามารถใช้ประโยชน์จากรูปแบบข้อมูลรวมศูนย์และการไหลเวียนของข้อมูลที่ราบรื่น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา โดยไม่ต้องสร้างระบบผสานรวมที่ซับซ้อนขึ้นมาใหม่
สรุป: การก้าวสู่อนาคตเมื่อ SAP ECC สิ้นสุดอายุการใช้งาน
เนื่องจาก SAP ECC6 ใกล้จะหมดอายุการใช้งานและการสนับสนุนของ Microsoft NAV ได้สิ้นสุดลงแล้ว สถานการณ์นี้จึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับองค์กรทั่วโลก แม้การย้ายระบบอาจดูยุ่งยาก แต่ก็เป็นโอกาสทองในการปรับปรุงการดำเนินงานให้ทันสมัย พัฒนากระบวนการทางธุรกิจ และเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตและนวัตกรรมในอนาคต
การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการวางแผนล่วงหน้า การประเมินทางเลือกที่ครอบคลุม และความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ยอมรับและตระหนักถึงประโยชน์ที่ได้รับ องค์กรที่ย้ายระบบเหล่านี้อย่างมีกลยุทธ์มักพบว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมีค่ามากกว่าต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นและความซับซ้อนอย่างมาก
อนาคตเป็นขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับระบบคลาวด์เป็นอันดับแรก มีความคล่องตัวและปรับขนาดได้ และเลือกระบบ ERP ที่จะสนับสนุนนวัตกรรมและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากำหนดเวลาในปี 2027 และ 2030 อาจจะดูเหมือนอีกนาน แต่โครงการย้ายระบบ ERP มีความซับซ้อน จึงต้องเริ่มวางแผนและตัดสินใจทันทีเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนจาก SAP ECC, Microsoft NAV หรือระบบเดิมอื่นๆ องค์กรมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานและสถานะการแข่งขันได้ ด้วยการเลือกระบบ ERP มาใช้อย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ทรัพยากรที่เพียงพอ และความมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของ ERP สมัยใหม่อย่างเต็มที่








